5 เมษายน 2551

การเดินทาง

...ที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินของประเทศเราซึ่งรัฐบาลตั้งความหวังว่าจะให้เป็นศูนย์รวมของสายการบิน (Hub) ในภูมิภาคเอเซียทั้งหมด พวกเรานัดรวมกันที่นี่เวลา 12.30 น. เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางด้วยสายการบิน EVA AIR ไปพร้อมกันในเวลา 16.25 น. บางคนมีญาติพี่น้องไปส่ง บางคนมีคนสนิทพิเศษไปส่งอย่างอบอุ่น

........เครื่องบินออกจากสนามบินสวุรรณภูมิ 16.30 น. ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ถึงสนามบิน Taiwan Taoyuan ไทเป นั่งรอ ยืนรอ เดินรอ จนเวลา 5 ทุ่ม เครื่องจึงค่อยเหิรสู่ท้องฟ้ามุ่งข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกสู่อเมริกา ใช้เวลาจากไทเปถึงสนามบินนครซานฟรานซิสโก 10.20 ชั่วโมง รวมเวลาอยู่บนเครื่องบิน 13.20 ชั่วโมง นับว่าเร็วกว่าทุกครั้งที่ไปมา และคราวนี้โชคดีมากได้ที่นั่งริมทางเดินทั้งสองช่วงของการเดินทางสามารถลุกขึ้นเดินไปเดินมาได้สะดวกสบายไม่ต้องขออนุญาตใครด้วยความเกรงใจ ระหว่างทางได้ฉี่บนท้องฟ้าครั้งเดียวเดาไม่ถูกว่าตรงกับประเทศอะไร ขออภัยเจ้าของประเทศนั้นมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะมันทนไม่ไหวจริง ๆ

........พอเครื่องถึงสนามบินนครซานฟรานซิสโก ดูสีหน้าแต่ละคนตื่นๆอย่างไงชอบกล สงสัยพิษวีซาที่เมืองไทยตามมาหรอกหลอนถึงที่นี่กระมัง ทุกคนระวังตัวแจเข้าแถวติดๆกันอย่าเผลอแตกแถวเชียวนา เมื่อแม่งูใหญ่เดินนำหน้าเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารและสัมภาษณ์ด้วยอัธยาศัยที่ดี โชคดีมากทุกคนผ่านนาทีนี้ไปได้แล้วเข้าไปรอรับกระเป๋าที่สายพาน 5 กระเป๋าเดินทางหลายใบแตกมากบ้างน้อยบ้าง โดยเฉพาะของน้องนัทแตกจนเข็นไม่ได้เลยน่าสงสารมาก ของวรากรมุมแตกทะลุ ของเราเองยังหล่อและสวยปิ๊งอยู่เลย

........ที่สนามบินนครซานฟรานมีผู้ชายคนหนึ่งถือป้าย "silpakorn" รอรับอยู่ เขาเป็นพนักงานบริษัททัวร์ที่จะพาเราไปยังที่พักชื่อ Valley Park Hotel อยู่ห่างจากสนามบินไป 40 นาที รถบัสคันใหญ่มีที่นั่งว่างตั้งครึ่งคัน ถึงโรงแรม 3 ทุ่ม เช็คอินเข้าโรงแรมนอนห้องละ 3 คน เราพักอยู่ห้อง 211 กับนัทและเอก ส่วนหมีพักกับวรากรและสุวัฒน์ชัย อัตราค่าที่พักตกคนละ 30 กว่าเหรียญต่อคืน

........ที่โรงแรมมี Professor Dr. Howard Combs มาต้อนรับให้ความอบอุ่นดีมาก เอาขนม สตอเบอร์รี่ และส้มลูกใหญ่มากมาให้เป็นลัง ทั้งยังหอบเสื้อยืดกันหนาวมาให้อีกเยอะเลย... 4 ทุ่มยืมคอมพิวเตอร์วรากรเขียนข้อความในบล็อกtukky2626 ....5 ทุ่มเขียนบันทึกประจำวันแล้วหลับไปพร้อมกับสมุดและปากกา ตื่นมาตี 3 ครึ่งนอนไม่หลับเลยต้องยืมคอมพิวเตอร์หมีมาเขียนบล็อกต่อ รู้งี้เอาคเล็กมาเสียก็ดีจะได้ไม่ต้องรบกวนน้องๆเขา...พรุ่งนี้เช้านัดกันกินข้าวเช้ากัน 7 โมง และช่วง 10 โมง อาจารย์ Marry จะมาปฐมนิเทศที่โรงแรม เสร็จแล้วจะพาไปทำกิจกรรม City tour นัยว่าจะไปฝึกใช้บริการรถเมล์สายที่ผ่านจากโรงแรมไปมหาวิทยาลัย San Jose State University และตั้งใจว่าหลังจากทานข้าวเช้าแล้วจะโทรถึงหลวงพระมนัส หัวหน้าคณะสงฆ์พระธรรมฑูตวัดมงคลรัตนาราม เบอร์กเย์ เบย์แอเรีย ซานฟรานซิสโกและ Francis เพื่อนผู้ใช้ฝีมือล้วนๆในตีดาบซามูไลจนมีชื่ิอเสียงโด่งดังในวงการระดับโลกทีเดียว

6 เมษายน 2551

วันจันทร์, เมษายน 7, 2008

........ตื่นนอนตั้งแต่ตี 3 นั่งเขียนบล็อกถึงแม่ติ๊กจนถึงตี 5 กว่า ๆ ลงไปเดินนอกโรงแรมอากาศหนาวเย็นจริงๆ กลับขึ้นบนห้องพยายามนอนแต่ไม่หลับ เวลา7 โมงกว่าหมีโทรศัพท์ภายในตามให้ไปกินข้าวเช้า วันนี้แต่ละคนตักอาหารกันพอดีๆคิดว่ากะประมาณได้ทั้งปริมาณและคุณภาพของรสชาดอาหารได้ เสร็จแล้วออกไปเดินถ่ายภาพและสูดอากาเย็นๆกันบนถนน Creek มีวัฒ์ หมี เอก ปู กร ป้าหลวย เดินไปถึงสี่แยกห้าง Macys ก็ย้อนกลับโรงแรม เอกวิ่งถ่ายภาพอย่างเมามันส์ ไม่คิดชีวิต ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรที่สายตากวาดผ่านเป็นผ่านเลนส์กล้องทุกมุมมอง

........สักพักก็เดินเลยไปถึงร้ายขายอุปกรณ์ของกลุ่มมอเตอร์ไซต์ Harley Davidson ขายเสื้อหนัง กางเกง หมวก และของที่ระลึกต่างๆ ของกลุ่มคนที่ชอบและสนใจสิ่งที่เหมือนกัน ที่นี่จะจัดชุมนุมนักขี่มอเตอร์ไซต์ช็อบเปอร์แบบนี้ปีละ2ครั้ง เขาจะรู้กันเองว่าเมื่อไรแล้วจะมาพร้อมเสียงเครื่องยนตร์ที่ดังกระหึ่มเร้ากระบอกแก้วหู พอได้ที่แต่ละคันก็จะจอดหันหน้าออกสู่ถนนเรียนงกันเป็นแถวเป็นแนวยังกะโชว์รูมข้างถนนดูสวยดีจนไม่สามารถหยุดความกระสันนิ้วชี้ของเอกมือกล้องนิ้วฉมังได้ ว่าแล้วก็เล็งกล้องกดชัตเตอร์เสียงแฉะแฉะ...แต่ไม่เปียก.. คนที่ไม่มีกล้องก็ทำหน้าที่แอ็คท่าเป็นนางแบบนายแบบกันเป็นธรรมดาดูสวยดูหล่อไปหมด ยกเว้นเราคนเดียวเพราะดันใส่เสื้อกั๊กยีนส์เพื่อกันหนาวแต่พอไปยืนกับมอเตอร์ไซต์ Harley Davidsonแล้วมันดูเหมือนพวกวินมอร์เตอร์ไซต์บ้านเราว่ะ..ฮา..

........ส่วนเจ้าเอกไม่สนใจว่าใครเป็นใครกูกดชัตเตอร์อย่างเดียวจนคนที่จัดงานสงสัยในพฤติกรรมต้องเปล่งวาจาถามด้วยอารมย์นิดนิดฟังได้ความว่า y do u take picture!! take for what!!! เจ้าเอกถูกเบรคด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าไว้ใจจึงพักนิ้วชี้ไว้ชั่วคราว หันหน้าไปตามเสียงที่มากระแทกแก้วหูแล้วตอบไปอย่างไม่ค่อยปะติดปะต่อด้วยถ้อยคำ ไอ..ไอ..*.+?#!!+-#@ ทัวร์ริสท์ ฟอม ไทยแลนด์#!!*? Oh! you are tuorist from Thailand OK OK แหม!!มันโล่งเบาสบายเหมือนปล่อยฉี่ลงโถส้วมยังงั้น...เจ้าเอกได้ใจเลยกดชัตเตอร์โช๊ะโช๊ะให้สะใจไปเลยย.ย.ย

........กลับโรงแรมที่พัก...เวลา 10.00 น. อาจารย์ Marry มาถึงโรงแรมตามนัดหมาย เธอเตรียมเอกสารมาให้แต่ละคนอย่างเพรียบพร้อม ประกอบแผ่นพับเวลาเดินรถเมล์สาย23 แผนที่เมือง San Jose และสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจในเมืองและบริเวณรอบๆเมือง และข้อมูลอื่นๆอีกหลายอย่าง พวกเรานั่งประชุมกันในห้องอาหารของโรมแรมซึ่ง ดร.วิสาข์และดร.ฐาปนีย์ติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว Marry เริ่มต้นด้วยการทักทายอย่างอ่อนน้อมสุภาพ และสนิทสนมกับอาจารย์ของเราทั้งสองท่าน จากนั้นก็เล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ San Jose ให้ฟังอย่างน่าสนใจ เขายกย่อง ให้เกียรติและเห็นคุณค่าของผู้คนที่เคยเป็นเจ้าของประเทศเดิมคือพวกอินเดียแดง สังเกตได้ว่าเขาเห็นความสำคัญของประวัติศาตร์มากซึ่งแตกต่างจากคนไทยเรา ส่วนใหญ่เห็นประวัติศาสตร์เป็นเรื่องความหลังที่ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่สลักสำคัญอะไร ถ้ามีการเชิดชูก็ไปตามหลักสูตรที่เรียนเพื่อสอบเอาคะแนนเป็นสำคัญ Marry เน้นการเดินทางไปมหาวิทยาลัย และการเข้าห้องเรียนต้องให้ทันเวลา (on time) ไม่ใช่ Thai time เพราะเธอเคยไปสัมผัสกับเวลาในเมืองไทยมาแล้ว รู้ว่าเมืองไทยเราเวลาช้าเร็วผิดปกติ ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศและทิศทางของลม เธออธิบายเรื่องการวางแผนไปมหาวิทยาลัยควรจะทำอย่างมีการตั้งโจทย์ให้คิดด้วยว่า ถ้าจะเข้าเรียนในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเวลา 8.30 น. จะต้องตื่นกี่โมง ทานอาหารกี่นาที ใช้เวลาเดินทางไปถึงป้ายรถเมล์กี่นาที ควรขึ้นรถเมล์เวลาเท่าใด ให้ดูเวลารถเมล์ตามตารางที่แจกให้ แล้วให้ลงเมล์ป้ายไหน เดินเข้าเรียนให้ทันเวลาถ้าไปช้าจะอดเข้าเรียน

........เป็นธรรมดาของคนเป็นครูย่อมมีห่วงมาก..มากยิ่งกว่าห่วงในสัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิดเสียอีก เมื่ออธิบายอย่างละเอียดละออทุกข้อทุกความแล้วก็ให้แลกเหรียญ..เหรียญQuarter ซึ่ง Marry เตรียมมาให้เรียบร้อย แต่ละคนต้องจ่ายค่ารถเมล์ไปเรียนเที่ยวละ $ 1.3

........จากนั้นก็พาพวกเราเดินออกจากโรงแรมพาไปสาธิตการขึ้นรถเมล์ สาธิตการจ่ายสตังค์หยอดเหรียญทำอย่างไร ทุกคนทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วรถเมล์ก็มุ่งหน้าไปดาวน์ทาวน์ ระหว่างทางเห็น Marry ทำหน้าตายักแย่ยักยันเหมือนไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง ลุกเดินไปคุยกับคนขับรถแล้วกลับมานั่งสักพักลุไปอีกคราวนี้ยืนนานจนถึงป้ายที่พาพวกเราลง...มารู้ภายหลังว่า Marry เองก็ไม่ค่อยได้ขึ้นรถเมล์เพราะไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ส่วนตัวตลอดเวลา

........อย่างไรก็ตามตอนแรกเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยน่าจะอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 3-4 ป้ายรถเมล์ เอาเข้าจริงๆ แล้วไกลพอสมควรไม่มีทางที่จะเดินไปได้ ลงรถเมล์ที่ดาวน์ทาวน์แล้วเดินข้ามถนนไปในมหาวิทยาลัย โดยตั้งใจจะเข้าไปในอาคาร Dr. Martin Luther King ซึ่งเป็นอาคารห้องสมุดของมหาวิทยาลัย แต่ไม่สามารถเข้าไปในอาคารได้เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ Marry พาเข้าไปเดินชมบริเวณภายในมหาวิทยาลัยเธออธิบายแนะนำอย่างตั้งอกตั้งใจทั้งๆที่ขาเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรงที่บาหลีเมื่อสองปีที่แล้ว

........จากนั้นพาเดินชมบริเวณดาวน์ทาวน์วันนั้นอากาศหนาวมาก เดินไปถึงอาคาร The Tech ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านคอมพิวเตอร์และภาพยนตร์ มีจุดประสงค์หลักในส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คล้ายๆ กับพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ซานฟรานซิสโก แต่เล็กกว่าเนื้อหาน้อยกว่า แต่ที่น่าทึ่งและประทับใจสำหรับที่นี่คือได้ทดลองขับขี่รถสองล้อที่สามารถทรงตัวได้โดยอาศัยตัวเซ็นเซอร์ควบคุมการเคลื่อนที่ของรถ ผู้ขับขี่สามารถบังคับการวิ่งของรถได้ด้วยการโยกตัวไปด้านหน้าด้านหลังและการโยกคันโยกที่เหมือนแฮนด์จักยานไปด้านซ่้ายขวาตามความต้องการ

........จนเวลาประมาณ 17.00 น.นั่งรถเมล์กลับมาที่โรงแรมแต่ไปลงรถเมล์ที่ปลายทางที่ห้าง Macys ช็อบปิ้งกันอย่างสนุกสนาน หิ้วสิ่งของพะรุงพะรังข้ามถนนมาที่โรงแรม ทานอาหารเย็นอาบน้ำ เช่าโทรศัพท์ของนัทกับบ้านที่เมืองไทย แล้วรอใช้คอมพิวเตอร์ต่อจากนัท เขียนบล็อกและโหลดรูปจนตี 3 นอน

7 เมษายน 2551


........ตื่น 7 โมง เจ้านัทรีบอาบน้ำก่อน เอกยังคงนอนด้วยความอ่อนเพลียและมีอาการเจ็บคอด้วย หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วทานอาหารเช้าตามปกติ เป็นที่น่าสังเกตว่าวันนี้แต่ละคนเริ่มตักอาหารน้อยลงและเลือกกินและเลือกดื่มสิ่งที่ตนเองชอบท่าทางจะเข้าใจตนเองมากขึ้น

........อากาศวันนี้เย็นมากกว่าทุกวันหลายคนเริ่มบ่นเกี่ยวกับสุขภาพส่วนใหญ่มีอาการเข็บคอ โดยเฉพาะเข้านัทมีอาการมากกว่าคนอื่นๆ กลับขึ้นไปบนห้องพักทดลองใส่รองเท้า Barry คู่แพงที่สุด ปรากฏว่าฟิตไปหน่อยกลัวจะกระทบกระเทือนแผลที่หัวแม่เท้าต้องเปลี่ยนเป็นรองเท้าสานเหมือนเดิม

........8.30น. รวมพลกันที่ห้องlobby ของโรงแรมแล้วพวกเราชาวกระเหรี่ยงก็เดินกันเป็นกลุ่มไปรอรถเมล์ที่ป้ายเดิมซึ่งห่างจากโรงแรมไปประมาณ 2-3ร้อยเมตร ที่ป้ายรถเมล์ต่างก็วุ่นวายเจี๊ยวจ๊าวหาเหรียญQuaterคนละ 3 เหรียญกับแบ๊งค์คนละ1ดอลล่าร์ พอรถเมล์มาถึงผู้โดยสารที่อยู่บนเมล์มองมาที่พวกเราด้วยสายตาเหมือนทำท่าสงสัยอยู่นัยนัยว่าคนพวกนี้จะไปไหนกัน...สักพักเดี่ยว...พอรถเมล์จอดป้ายที่ใกล้มหาวิทยาลัยก็ทยอยกันลงเหลือผู้โดยสารทิ้งไว้เป็นเพื่อนคนขับรถเพียงสองสามคน

........9.45น.เดินเข้าไปในอาคารหอสมุดชื่อ Dr. Matin Luther King Library เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ทันสมัยมากมีหนังสือมากมายมหาศาล ทั้งยังเพรียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ให้บริการอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างรอผู้มาต้อนรับและนำชมเราแยกย้ายกันสำรวจหอสมุดตามอัธยาศัย พบว่าทุกชั้นแม้เป็นเวลาเช้าก็มีนักศึกษาจำนวนมากนั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจังบรรยากาศเงียบมากขนาดเราเดินบนพื้นพรมก็ยังต้องเกรงใจกลัวเสียงดังรบกวน

........ราว 10 โมงมีชายแก่คนหนึ่งเดินเข้าทักทายว่า Do you come from Thailand? หลายคนตอบพร้อมกันว่า Yesกับใบหน้าที่ยังข้องใจว่ารู้ได้อย่างไงทั้งๆ ที่อุตส่าห์ทำตัวให้กลมกลืนกับนักศึกษาที่นี่แล้วนะ เพียงแต่หน้าตาแสดงริ้วลอยแดดฝนมามากกว่าเท่านั้นเอง กว่าจะตื่นจากภวังค์เขาก็แนะนำตัวไปหลายคำแล้ว เขาคือ Professor Dr. Michael Conniff หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดร.ไมค์ ได้รับมอบหมายให้มาต้อนรับพวกเราและจะทำหน้าที่เป็นไกด์ในภารกิจ The University Tour เมื่อ ดร.ฐาปนีย์กับดร.วิสาข์มาถึงก็ตรงเข้าทักทายกันอย่างสนิทสนมชื่นชมยินดีที่ได้ทำงานร่วมกัน จากนั้น ดร.ไมค์ ก็พาพวกเราเดินออกประตูใหญ่ของหอสมุดที่เชื่อมต่อออกไปกับบริเวณภายในของมหาวิทยาลัยแล้วเริ่มอธิบายอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสั่นเครือเล็กน้อย...ไม่ใช่ประหม่าหรือขวยเขินอย่างใดแต่เป็นเพราะอายุมาก...รวมเวลานำเดินชมบริเวณมหาวิทยาลัยเกือบสองชั่วโมง

........ระหว่างเดินตามหลังยังได้คุยกับ ดร.ฐาปนีย์ว่าด้วยเหตุนี้กระมังจึงทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีความเจริญยิ่งใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยดีเด่นเป็นอันดับ 3 ของอเมริกา เพราะเขาให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินทุกงานทุกขั้นตอนไม่ห่วงหลุมพลาง แต่ห่วงทิศทางของมหาวิทยาลัยมากกว่าเรื่องอื่น สังเกตได้ในระหว่างที่ ดร.ไมค์นำพวกเราชมมหาวิทยาลัย ยังมีกลุ่มคน 2 -3 กลุ่ม เดินชมภายในมหาวิทยาลัยอย่างพวกเราแต่ผู้นำของเขาเป็นนักศึกษาหญิงและชายอธิบายนำชมอย่างกระฉับกระเฉงส่วนกลุ่มฟังแลดูเป็นวัยรุ่นคล้ายกับกำลังเรียนประมาณระดับHigth School เมื่อเกิดความสงสัยเลยต้องถาม ดร.ไมค์ว่าพวกเขาเป็นใคร?? ได้รับคำตอบว่าเป็นเด็กที่กำลังจบ Higth Schoolซึ่งมีความประสงค์จะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ในปีต่อไป ยิ่งทำให้แน่ใจได้เลยว่าทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างภาคภูมิใจ ทุ่มเทให้กับสถาบันอย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี...ที่จริงก็คล้ายกับโครงการพาน้องเยี่ยมบ้านของเรานั่นแหละแต่พื้นที่ของคุณค่าและกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบแตกต่างกัน ของเราเป็นจิ๊กซอที่วางกระจายไว้คนละมุมโต๊ะยังไม่สามารถนำมารวมกันให้เป็นภาพรวมที่สมบูรณ์และชัดเจนได้


........ที่นี่เขามีอาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยคือ Tower Hall เป็นอาคารเก่าๆอายุมากกว่าร้อยปีเขาบำรุงรักษาไว้ให้เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมาย จึงเป็นธรรมดาที่ผู้มาเยือนต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนี้เขายังยกย่องให้เกียรติกับบุคคลที่มีคุณค่าทำชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยโดยการสร้างเป็นอาคารหรืออนุสาวรีย์ไว้ให้คนรุ่นหลังๆ ได้ชื่นชม เช่น นักศึกษาที่เป็นนักกรีฑาเหรียญทองโอลิมปิกที่แม็กซิโกเมื่อปี 1986 จำนวน 2 คน หรือแม้แต่อาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่มาสอนยูโดจนประสบผลสำเร็จเขาก็สร้างเป็นอาคารเรียนให้เป็นที่ระลึกแล้วตั้งชื่อเป็นอาคาร Yoshida

........เมื่อเดินชมจนทั่วหมดแล้ว ดร.ไมค์นำก็พาพวกเราไปยังห้องประชุมของคณะมนุษย์ โดยที่นั่นมี Professor Dr.Howard ...คนที่เอาขนมและเสื้อกันหนาวไปให้พวกเราที่โรงแรมตั้งแต่วันแรก...เตรียมการรอต้อนรับอยู่แล้วพร้อมPowerPointอย่างดี ระหว่างรอฉายสไลด์มีศาสตราจารย์คนหนึ่งมาให้การต้อนรับที่ประตูห้องประชุมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ไทย ทำวิจัยและเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเมืองไทย เห็นเล่มหนึ่งวางแสดงในตู้กระจกหน้าห้องประชุมเป็นหนังสือชื่อ "ความลับของคนไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2 " มีความหนาราว 4-5ร้อยหน้า ในการนำเสนอสไลด์มีภาพที่อาจารย์โฮวาร์ดถ่ายจากเมืองไทยหลายภาพ หลังจากชมสไลด์เสร็จ Professer Dr. Mark Novak : Associate Vice Predent & Dean International Extended Studie เข้ามากล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาฉะฉานดีเหมือนเป็นนักการเมือง พูดคุยซักถามและเรียนรู้กันจนถึงเวลาเที่ยงก็จบงานการเรียนรู้ในช่วงเช้ามีการมอบของที่ระลึกให้กับคณาจารย์ที่มาต้อนรับพวกเรา

........หิวแล้วสิท่า เห็นทุกคนเดินแว็บหายวับไปจากอาคารโดยไม่รอเรากับหมีซึ่งสาละวนอยู่กับการเดินสำรวจห้องเรียนต่างๆ ด้วยอยากรู้อยากเห็นว่าเขานั่งเรียนกันอย่างไร??สรุปได้ว่านักศึกษาที่นี่ทุกคนนั่งเรียนเหมือนเราๆท่านๆ...ไม่มีใครนั่งยองๆเรียนสักคนเดียว... เราสองคนวิ่งตามหาเพื่อนอย่างตระหนกเล็กน้อย เพราะคนจำนวนมากเดินกันให้ขวักไขว่ พวกเราแต่ละคนไม่สามารถติดต่อกันทางโทรศัพท์ได้เลย หากพลัดหลงแล้วจะถามใครก็ลำบากคงสับสนไปหมดไม่รู้ใครเป็นใครแต่งตัวก็ไม่เหมือนกันบ้างแต่งตัวด้วยชุดธรรมดา บางคนเหมือนมาเดินเที่ยว บางคนแต่งตัวเหมือนพร้อมจะไปเลี้ยงควาย หลายคนเดินทางด้วยสเก็ตบอร์ดเหมือนเด็กฮาร์ดตามศูนย์การค้า ต่างคนอยู่ในอาการดุ่มเดินอย่างเร่งรีบสมกับเป็นนักศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกจริงๆ ...ในทีสุดเรากับหมีก็ตามทันกลุ่มกระเหรี่ยงที่มุมทางเดินไม่ห่างไกลจากอาคารเท่าใดนัก ดร.ฐาปนีย์ กับ ดร.วิสาข์ กำลังพาไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารเวียตนาม มื้อนี้อาจารย์ ดร.ฐาปนีย์ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงลูกทีมทุกคน ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับอุตส่าห์เหนื่อยยากพามาเรียนแล้วยังต้องเลี้ยงดูอีก พวกเราต้องรีบไปเพราะช่วงบ่ายโมงต้องเข้าเรียนอีก พอไปถึงร้านต่างคนต่างรีบสั่งแบบเสี่ยงๆแม้มีโบรชัวร์ให้ดูก็ยังไม่แน่ใจว่ารสชาดจะเป็นอย่างไร ใครสั่งอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวเวียตนามก็จะมีอาการถูกลวกปากซู๊ดซ๊าดบ้างจากการซดอย่างรีบเร่ง กว่าจะหมดชามเหงื่อแตกพลักท่ามกลางอากาศที่ยังเยือกเย็น เมื่อเสร็จภารกิจกินแบบสายฟ้าแล็บแล้วรีบออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วราวกับหลบนักรบเวียตกงยังงั้น

.......ช่วงบ่ายเข้าห้องประชุมที่อาคารเทคโนโลยีการศึกษา...ตรงประเด็นมาก...ที่นี่มี Dr. Mary Fran Breiling ซึ่งมีตำแหน่งเป็น Interim Associate Director, Central for Faculty Department and Director, Wireless Laptop Pilot Project, SJSU. กล่าวให้การต้อนรับและบรรยายแสดงนโยบาย กระบวน และผลงานให้อย่างน่าชื่นชมที่สุด เพราะเป็นงานนวัตกรรมที่ทำได้ตรงตามความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาที่สุด กล่าวคือเขาสามารถชักจูงคณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรในองค์กรได้เข้าใจและเข้าถึงหัวใจของเทคโนโลยีการศึกษาได้อย่างถูกต้อง จนถึงตระหนักรู้และใฝ่รู้อย่างจริงจัว เขาทำงานอย่างเป็นระบบเน้นทุกอย่างทั้ง Hardware, Software และActivities ทั้งนี้ขึ้นอยู่กรอบหรือภารงาน พูดง่ายก็คือใช้ให้เหมาะกับกาละและเทศะนั่นเอง เช่น การสร้างกิจกรรม Peer Center ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์ประสานงานและให้ความช่วยเหลือแบบเพื่อนช่วยเพื่อนเกี่ยวกับปัญหาการเรียนทุกประเด็นวิชาการ โดยใช้พื้นที่ในอาคารที่เป็นห้องสมุดเดิม มีนักศึกษามาใช้บริการขณะนั้นกว่า 20คน นั่งเรียน เขียนอ่านตามวิถีของแต่ละคนอย่างตั้งอกตั้งใจ อย่างนี้ซิถึงจะเรียกว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่แท้จริงไม่ใช่ไปเน้นเครื่องมือที่สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่มีกระบวนการจัดการเพื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ไม่เข้าใจของการเรียนรู้อย่างจริงจังเสียดายเงิน คน และเวลาจริงๆ....ไปไปมามาก็ลงท้ายด้วยการบ่นจนได้....

ต่างตื่นตาตื่นใจไปกับ Grand Canyon


8 เมษายน 2551


.....วันนี้อากาศหนาวกว่าปกติเอกกับนัทอาบน้ำแต่งตัวรีบไปทานข้าวก่อน ชวนหมีกับสุวัฒน์ชัยลงไปทดสอบอากาศข้างนอกโรงแรมดูซิว่าจะหนาวเย็นมากเพียงใดใคร่อยากรู้นัก พอเจอของจริงเข้าก็แทบชักหนาวสั่นงั๊กงั๊กทั้งตัว ต้องกลับขึ้นไปบนห้องพักใส่เสื้ออีก เดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายเดิม วันนี้รถเมล์มาเวลา 9.45 น. พอวิ่งไปเลี้ยวซ้ายเข้า downtown ป้ายแรกก็ลงเดินผ่าอากาศหนาวข้ามถนนไปมหาวิทยาลัยแล้วตรงไปที่อาคาร Tweening Hall ชั้น 2 เพื่อรอเรียนกับ Pro. Dr. Mei-Yan Lu ระหว่างรออาจารย์ก็เดินสำรวจบริเวณอาคารและป้ายนิเทศ ดูดูก็ไม่ค่อยแตกต่างกับป้ายนิเทศของนักศึกษาในเมืองไทยเท่าใดนัก รออีกประมาณ 10 นาที อาจารย์ลูก็เชิญเข้าห้องเรียน

........ประสบการณ์การเรียนรู้ในชั่วโมงของอาจารย์ Prof.Dr.Mei-Yan Lu
1. การควบคุมตนเองโดยอาศัยสมองและจิต
2. การทดสอบเรื่องสมองและจิตด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
การควบคุมตนเองด้วยสมองและจิต โดยการใช้เครื่องมือแบบธรรมชาติมีทั้งหมด 3 ขั้นได้แก่
........ขั้นที่ 1 การใช้ลมหายใจช้าๆและลึก ให้นึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณหัวใจ
........ขั้นที่ 2 พยายามปลดปล่อยหรือผ่อนคลายไปสู่ความรู้สึกกับลมหายใจ
........ขั้นที่ 3 ให้ทำแบบขั้นที่ 1 และ 2 ต่อเนื่องจนกว่าจะได้อารมณ์และความรู้สึกที่เป็นไปแบบธรรมชาติ
การยอมรับในแนวทางธรรมชาติ ได้แก่ สมอง ใจ และจิต ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของนักจิตวิทยาและนักการศึกษาในยุคใหม่ที่เชื่อว่าองค์ประกอบสำคัญของมนุษย์คือ สมอง อันหมายถึงทางกาย (IQ) และอารมณ์/ความรู้สึก (EQ) อันหมายถึงทางจิตใจ
การสืบสอบเพื่อพัฒนาตนเองโดยการตั้งคำถามที่ต้องหาคำตอบให้ได้ชัดเจน เช่น
........1. เราจะเรียนในระดับปริญญาเอกไปทำไม ? และเรารู้หรือไม่ว่าคำว่า Ph.D หมายถึงอะไร หากการศึกษาหรือการเรียนรู้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ มันอาจจะถูกตีความไปในแง่มุมอื่นได้ เช่น Pizza Hut Delivery, Permanent Head Damage เป็นต้น ในประเด็นนี้อาจารย์ได้ยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับตนเองว่า เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อการพัฒนาวิชาชีพ และเพื่อการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังได้ให้ข้อคิดไว้ว่าการศึกษาทำนองนี้เป็นการศึกษาตลอดชีวิต (It’s my life-long education)
........2. เมื่อใดจึงจะไปถึงประสบการณ์แห่งความรู้สึกนั้นได้ ? แนวทางที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการเรียนรู้ของผู้เรียนเอง ทั้งนี้ต้องเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาของผู้เรียนเองและสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วย
........3.จะได้อะไรจากแนวทางดังกล่าวนั้น ? ผู้เรียนเองต้องค้นหาเนื้อหาสาระที่ต้องการโดยต้องคำนึงถึงปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวข้องเช่น ปัญหาด้านจิตใจ ปัญหาด้านอารมณ์ความรู้สึก ปัญหาด้านร่างกาย และปัญหาด้านสังคม

........การทดสอบสมองและจิตด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
เป็นวิทยาการที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการผสมผสานสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมให้เกิดความสมดุลซึ่งกันและกัน โดยการติดตั้งโปรแกรมแล้วใช้อุปกรณ์พ่วงต่อสัมผัสติดไว้ที่ติ่งใบหู ซึ่งเป็นตำแหน่งปลายประสาทที่เอียดอ่อนมีความไวต่อความรู้สึกนึกคิด จากนั้นให้เลือกเนื้อหาที่ต้องการทดสอบแต่ละโปรแกรมจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเร้าอารมณ์ทั้งภาพและเสียงด้วยคุณลักษณะที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ เพื่อตรึงมั่นหรือทำลายสมาธิของผู้ใช้โปรแกรม หากผู้ใดมีสมาธิดีไม่ว็อกแว็กกังวลเคร่งเครียด พยายามรักษาอารมณ์ให้มั่นคงอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องจนจบโปรแกรมก็จะได้คะแนนสูง โดยแระเมินจากเส้นกราฟที่แสดงถึงพฤติกรรมทางอารมณ์ของแต่ละคน หากเส้นกราฟมีลักษณะขึ้นลงสูงๆต่ำๆมากแสดงว่ามีความกังกลแฝงอยู่ไม่สามารถควบคุมได้ ในทางตรงกันข้ามหากสเนกราฟมีลักษณะราบเรียบสงลนิ่งแสดงว่ามีอารมณ์มีสุขเบิกบานแบบแผ่วเบาไม่มีความกังวล ไม่ปล่อยให้ความคิดปะติดปะต่อจนเป็นเรื่องราวชวนให้ลุ่มหลงในรูปของอุปทาน ซึ่งสิ่งนี้ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “สังขารละเอียด” อันเป็นต้นเหตุแห่งความเครียดและปัญหาอื่นๆอีกมากมาย

9 เมษายน 2551


........ดูงานที่ Standford University เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงผลิตบัณฑิตออกไปรับใช้สังคมในสถาบันการศึกษาใหญ่ๆทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย วันนี้เป็นวันที่ทุกคนซีเรียสพอสมควรเรานัดให้รถตู้ขนาดใหญ่มารับที่หน้าโรงแรมเวลาสองโมงเช้า อากาศหนาวระหว่างรอรถตู้เดินข้ามไปใช้โทรศัพท์สาธารณะที่ปั๊มน้ำมันเยื้องกับโรงแรม โทรอย่างไงหรือโทรหาใครก็ไม่ติดไม่รู้ว่าการ์ดที่ซื้อมาเป็นอะไร...จนสองนาทีสุดท้ายก่อนรถตู้จะออกต้องยกเลิกยอมแพ้ไป พอขึ้นมาบนรถเห็นสีหน้าแต่ละคนดูซีเรียสกับtripในวันนี้จริง ๆ เพราะทราบจาก ดร.วิสาข์มาก่อนแล้วว่าการศึกษาดูงานที่นี่ค่อนข้างมีปัญหาอยู่บ้างตั้งแต่การติดต่อครั้งแรก ทำให้เราคิดไปต่างต่างนานาว่าเขาจะต้อนรับเราอย่างไร ระหว่างทางก่อนถึงมหาวิทยาลัยคนขับรถซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับคนแม็กซิกันเลี้ยวรถเข้าไปในถนนเล็กเป็นซอยเพื่อดูแผนที่เมืองทำความเข้าใจกับสถานที่ที่จะพาพวกเราไปโดย ดร.ฐาปนีย์เดินลงไปดูด้วย

........สักพักขึ้นมาบนรถแล้วขับรถม้วนกลับไปถนนใหญ่ที่เพิ่งผ่านมา ขับไปตามถนนสักพักสังเกตเห็นข้าทางมีคนออกกำลังกายกันมากรถยนตร์จอดเต็มข้างทาง หลายคนชื่นชมกับบรรยากาศกับกิจกรรมที่ผู้คนกำลังทำอยู่ ส่วนคนขับรถก็พยายามถามคนข้างทางถึงจุดหมายที่จะไป สักพักเดียวรถก็วิ่งเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัยเห็นนักศึกษาหลายคนขี่จักรยานส่วนใหญ่เป็นเสือภูเขา ที่จอดอยู่ตามหอพัก อาคารเรียน และที่จอดจักรยานอีกมากมาย แสดงว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางมาก คนขับรถขับวนไปม้วนมาหลายตลบทำให้บรรยากาศขาดความมั่นใจที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางให้ทันเวลา เมื่อรถวิ่งไปเรื่อยๆพวกเราต่างคนต่างช่วยกันสังเกตสถานที่

........ในที่สุด ดร.วิสาข์ก็อุทานออกมาด้วยความตื้นที่เห็นป้ายบอกว่า College of Education นี่แหละที่พวกเราดั้นด้นจะมา แต่ละคนก้าวลงจากรถด้วยความโล่งอกที่แฝงด้วยความตื่นเต้นนิดนิดกับอนาคตที่ต้องเผชิญ เข้าไปนั่งรอในอาคารใหญ่ทันสมัยมาก มีการออกแบบตามหลักสถานปัตยกรรมอย่างพิถีพิถัน ดร.ฐาปนีย์กับ ดร.วิสาข์หายไปสักพักใหญ่พร้อมกับแนะนำให้พวกเราเดินตามไปที่ห้องประชุมชั้น3 ทุกคนอ้อมไปเข้าด้านกลางไม่ใช่ด้านข้างที่ออกแบบไว้ รออยู่ในห้องราวสิบกว่านาทีเป็นห้องที่มีเก้าอี้สีแดงตัดดำยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น ทุกคนอยู่ในอาการรอใครสักคนหนึ่งด้วยอาการสงบ สักพักมีหญิงสาวหน้าตาดีใส่แว่นตาเหมาะกับใบหน้าเข้ามาทักทายกับ ดร.วิสาข์ ต่างคนต่างแนะนำตัวเอง สักพักนึงก็มีหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมเสื้อยืดสีกรมท่าเดินเข้ามาในห้องด้วยอาการเร่งรีบ พอนั่งเก้าอี้เสร็จก็สั่งขี้มูกปีดปีด...สงสัยไม่สบายแน่เลย ตามมาติดติดด้วยชายวัยดึกสะพายแร่งกระเป๋าแบบวัยรุ่นเดินเข้าด้วยอาการเคร่งขรึมเล็กน้อย เหล่านี้ยิ่งเพิ่มความตรึงเครียดให้กับผู้มาเยือนยิ่งนัก เมื่อต่างฝ่ายต่างแนะนำตัวอย่างเป็นทางการจึงทราบว่าทั้งสามท่านคือ

........Dr.Chistine Min Wotika เคยเป็นครูสอนในเมืองไทยที่จังหวัดหนองบัวลำพู , Dr.Anthony Lising Antonio เป็นผู้เคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thiking), Dr.Michea. Kirst เป็นอจารย์ผู้อาวุโส เคยเป็นอาจารย์สอน Marry มาก่อน ....ในการสนทนา ดร.วิสาข์แนะนำวัตถุประสงค์ที่พวกเรามาเยือนสถาบันการศึกษาแห่งนี้ แล้วให้เราแนะนำตัวทีละคน จากนั้นอาจารย์ทั้งสามคนจึงเล่าถึงประวัติและนโยบายของมหาวิทยาลัยให้ฟังกันราว 1 ชั่วโมง รวมถึงการบรรยายกระบวนการส่งเสริมการทำวิจัย การเปิดสอนสาขาต่างๆด้วย จากนั้นเปิดโอกาสให้ซักถาม อาจารย์พนอถามคำถามเกี่ยวกับ critical thinking แต่ได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยตรงกับคำถามเท่าใดนัก ทั้ง ๆ ที่ Dr. Anthony เป็นคนเขียนหนังสือและทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง...สงสัยนะครับ...ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาในการพูดคุยกันในห้องประชุมนานเป็นช่วงโมง ระหว่างนั้นเจ้าเอกก็ทำหน้าที่กดชัตเตอร์แบบนิ้วแข็งๆ ยังไงชอบกล ส่วนเจ้าปูซึ่งนั่งเก้อี้ติดกับ Dr. Anthony เธอไม่สบายเอามากๆ เธอใช้ความพยายามในการควบคุมการไอที่เกิดจากอาการไม่สบายนานเป็นชั่วโมง เห็นแล้วสงสารจริง ๆ ปูเอ้ยยย.

........เมื่อการประชุมเสร็จสิ้นลง ดร.วิสาข์และ ดร.ฐาปนีย์ กล่าวขอบคุณแล้วมอบของที่ระลึกแก่อาจารย์ทั้งสามท่าน...ขอบคุณนะครับ...ประสาทที่ตึงตึงเริ่มคลายตัวทีละน้อยเมื่อทะยอยเดินออกจากห้องประชุม ลงบันไดมารวมกันอยู่ชั้นล่าง ดูเหมือนต่างคนต่างนั่งทางในรับรู้ความรู้สึกภายในของกันและกันทั้งๆ ที่เพียงแค่มองหน้ากันอย่างผิวเผินเท่านั้น ยืนเกาะกล่มกันอย่างโลเลอยู่พักนึงก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายและสอบถาม สังเกตเห็นเหมือนกับคำถามและคำตอบสอดคล้องตรงกัน จากนั้นเขาก็เชิญพวกเราทั้งหมดเดินตามเข้าไปในห้องประชุมที่เป็นห้องเรียนรวมขนาดใหญ่ เขามีบุคลิกที่เป็นกันเองหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาฉะฉาน จากการแนะนำตัวเขาชื่อ Prof. Dr. Sam เป็นอาจารย์สอนในภาควิชาประวัติศาสตร์ มีลักษณะเป็นครูเกินร้อยเปอร์เซ็น บรรยายได้สนุกสนานอย่างมีเหตุผลตลอดเวลา ทำให้พวกเราผ่อนคลายจนลืมบรรยากาศเมื่อไม่กำนาทีที่ผ่านมา Prof. Dr. Sam สร้างบรรยากาศอย่างเป็นกันเองทำให้หลายคนมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์โดยการตั้งคำถาม ตอบคำถามอย่างเป็นธรรมชาติ จนรู้สึกว่าเวลา 1 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายคนมีอารมณ์ค้างอยากเรียนกับ Prof. Dr. Sam อีก...เชิญเลยครับถ้าไม่มีปัญหาค่าลงทะเบียนเรียน

........จากนั้นไปทานอาหารที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษามากจนดูแน่นไปหมด เข้าคิวซื้ออาหารเป็นแถวยาวเหยียด..ก็ดีไปอย่างจะได้รู้คนข้างหน้าเราเขาสั่งอะไรได้อาหารอย่างไร ถ้าดูดีจะได้สั่งตามไปด้วย สุดท้ายเมื่อถึงคิวเลยเลือกสั่ง food long เป็นแฮมเบอร์เกอร์แบบยาวยาวราวเกือบศอก ใส่แฮมและส่วนประกอบเข้าไปอีกมากมายจนอ้วนปริพองแทบห่อไม่ได้ แต่สั่งเขาให้ cut for two ตัดเป็น 2 ท่อนเพื่อไปแบ่งกันกินคนละดุ้นกับวรากร ก่อนใส่ส่วนประกอบจำพวกผักสดผักดองทั้งหลายคนขายถามว่าจะใส่อะไรบ้าง ก็บอกเขาไปง่ายง่ายเพื่อความรวดเร็วว่า all..everthing..เท่านั้นแหละเขาก็รีบยัดทั้งหมดเกือบสิบอย่างให้ตามประสงค์ของลูกค้าผู้ขี้เกียจคิดชื่ออาหารที่เป็นภาษาอังกฤษให้เมื่อยและเสียเวลา ทั้งยังเชื่อมั่นอย่างแข็งขันในการอยู่ง่ายกินง่ายของตนเอง แต่พอไปนั่งกินกันที่ใต้ร่มไม้ใหญ่นอกอาคารโรงอาหารส่วนประกอบหลายอย่างที่ถูกยัดมาในดุ้นที่ถืออยู่มีปฏิกริยาในการยับยั้งระบบกลไกการกลืนอาหารของเราเอง ผักดองพริกดองบางอย่างรสชาดเปรี้ยวจี๊ดดดขึ้นสมองทะลุหนังหัวไปยืนเยาะเย้ยเราบนปลายเส้นผมแน่ะ...ต้องกลับไปทบทวนคำว่าอยู่ง่ายกินง่ายเสียใหม่นะตู...

10 เมษายน 2551


.....ดูงานที่ Adobe นับเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้มา internship ที่ SJSU เพราะที่เมืองนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทใหญ่ๆด้าน IT ที่มีชื่อเสียงของโลกปัจจุบันทั้งสิ้น เช่น Adobe, Intel, Google, เป็นต้น

.....ในช่วงเช้าเรียนปฏิบัติการ Workshop: Global Work with Apple Worldwide Teaching of English Through Computers โดย prof. Dr. Mary Male ที่ชั้น 4 ห้องแล็ปคอมพวิเตอร์ อาคารภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา...ระหว่างรอเรียนเราชาวกระเหรี่ยงเกาะกลุ่มกันอยู่หน้าห้องเรียนอีกห้องนึง นั่งกับพื้นบ้างยืนบ้าง คุยกันเสียงดังตามประสาของความแปลกหูแปลกตาต่างถิ่นต่างที่ บ้างก็แสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา สักพักอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่อีกห้องก็ออกมามองแบบสายตาลอดแว่นแล้วก็ผลุบเข้าไปสอนต่อ ราวสัก2-4นาทีออกมาอีกคราวนี้ไม่มองลอดแว่นอย่างเดียวแต่ทำหน้าตาสงสัยว่าพวกนี้เป็นใครมาจากไหน ว่าแล้วก็แก้ปัญหาด้วยปิดประตูซะเลย ทำให้เราชาวกระเหรี่ยงรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นต่างเงียบเหมือนอยู่ในป่าช้าตอนตีสองยังงั้น...ได้เวลาอาจารย์ Mary Male เชิญเข้าห้องเรียนสร้างความประทับใจโดยการถ่ายภาพพวกเราทีละคนโดยให้เขียนชื่อบนแผ่นสต๊กเกอร์แปะไว้ตรงเสื้อทำให้ว่าใครชื่ออะไร จากนั้นอาจารย์กล่าวทักทายด้วยอัธยาศัยอันดียิ้มแย้มแจ่มใสใจเย็นน่ารักมาก พวกเราแนะนำตัวเองโดยเริ่มจากวรากรไปเรื่อยๆแล้วมาจบคนสุดท้าย คือ I'm Wiwat Chanthep, I teach Educational Technology and Graphic DEsign at Muban Chombueng Rajabhad University in Rachaburi Province which far from Bangkok to the South about one hundred kilometrets.

......จากนั้นให้นักเรียนอเมริกันที่เรียนร่วมกันแนะนำตัวแบบเรียงคนจนครบทุกคนประมาณสิบคน ส่วนใหญ่เป็นครูมีบางคนเป็น Designer อยากเรียนเรื่องสื่อการออกแบบสื่อเลยต้องมาลงทะเบียนเรียนในภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษานี่แหละ นักศึกษาของเค้าทุกคนไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกเราเลยยกเว้นอย่างเดียวคือเขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมากพอพอกับเราพูดภาษาอีสานยังงั้นเลย ก็เป็นอันเสร็จกระบวนการรู้จักกันในเบื้องต้น จากนั้นอาจารย์ Maryก็แจกลูกยางรูปสมองคนก้อนเล็กกว่ากำปั้นบีบได้นุ่มนิ่มเหมาะมือดี อาจารย์อธิบายเรื่องสื่อการเรียนการสอนและสมองของมนุษย์ประกอบนิดหน่อย แล้วเข้าสู่บทเรียนคอมพิวเตอร์ การเรียนการสอนในห้องแล็ปคอมพิวเตอร์วันนี้อาจารย์เค้าใช้เครื่อง Mac ทั้งหมด สอนตั้งแต่การเริ่มใช้เครื่องมือในโปรแกรมต่างๆ ซึ่งเป็นโปรแกรมด้านมังติมีเดียเสียส่วนใหญ่ เช่น การบันทึกภาพ เสียง และการตัดต่อภาพ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีปัญหากับนักเทคโนฯเท่าใดนักเพราะปกติเราก็ใช้งานกันเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับโปรแกรมจะรู้สึกสนุกตื่นเต้นเป็นธรรมดา ในระหว่างการเรียนการสอนจะมีการสะดุดอยู่บ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์บางเครื่องมีปัญหาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งอาจารย์ก็พยายามช่วยเหลือจนลุล่วงไปได้ด้วยดี

........เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเรียน ดร.ฐาปนีย์กับ ดร.วิสาข์ กล่าวขอบคุณในความตั้งใจเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างดี..ถึงแม้จะเป็นการเรียนฟรีก็ตาม..ฮิฮิ..แล้วถ่ายรูปร่วมกันไว้เป็นอนุสาวรีย์ในห้วงแห่งความทรงจำที่ดีดี เกือบลืมบอกไปว่าโดยปกติ Prof.Dr.Mary Male มีความถนัดเรื่องเทคนิคการสอนมากเคยไปสาธิตแบบ workshop ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเชิญไปเป็นวิทยากรเมื่อปี 2549 สอนได้ประทับใจผู้เข้าอบรมมาก โดยเฉพาะครูอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ คราวนี้อาจารย์ก็พูดเน้นอยู่เสมอว่าเครื่องมือเป็นส่วนประกอบของการเรียนการสอนช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนทำงานการเรียนรู้ได้สะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันนักเรียนนักศึกษามีกล้องดิจิตอลและสามารถถ่ายภาพได้ทุกคน แต่ยังไม่สามารถใช้ภาพมาเป็นประโยชน์กับการเรียนรู้ได้เท่าที่ควร ครูต้องหาวิธีให้ผู้เรียนถ่ายทอดความสามารถของแต่ละคนออกมาสร้างสรรค์รูปภาพนั้นๆ ในเชิงการเรียนรู้อย่างบูรณาการ

........การเรียนการสอนวันนี้โดยเฉพาะการแจกลูกยางรูปสมองคนมีประประโยชน์หลายประการพอสรุปได้ดังนี้...1. ผู้เรียนได้สัมผัสรับรู้และนำไปสู่ความรู้สึกได้อย่างเป็นรูปธรรม...2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับกระบวนการเรียนและเนื้อหาบทเรียนได้อย่างใกล้ชิด...3. กระตุ้นความสนใจให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของบทเรียนได้ดี...4. เป็นสื่อที่นำไปสู่การบูรณาการกับบทเรียนอื่นๆ ได้...5. เป็นการผ่อนคลายบรรยากาศการเรียนการสอนได้ดีhttp://www.adobe.com/

11 เมษายน 2551


.....เช้าวันนี้มีเวลาว่างจนถึง 11โมงเช้า เนื่องถึงคิวเอกภาษาอังกฤษไปดูงานการสอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียนต่าง ๆ แยกออกเป็น 3 กลุ่ม โดยอาจารย์ Marry ขับรถมารับไปทีละกลุ่ม กลุ่มแรกออกจากโรงแรมไปราว 7 โมงเช้า เมื่อส่งถึงโรงเรียนแล้วกลับมารับกลุ่มที่สองไปอีกโรงเรียน แล้วกลับมารับกลุ่มที่สามไปอีกโรงเรียนหนึ่ง หากกลุ่มใดทำภารกิจเสร็จแล้วอาจารย์ Marry ก็จะรับกลับมารวมกันที่ร้าน McDonald ที่มุมสี่แยกหน้าประตูมหาวิทยาลัย พวกเราชาวเทคโนฯตามมาสมทบกันที่ร้านนี้ในเวลา 12.00 น. ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดีต่างแยกย้ายกันเป็นกลุ่มไปคุ้นเขี่ยหากินตามอัธยาศัย ...ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวแยกตัวไปที่ร้านเวียตนามแห่งใหม่ห่างจากหน้ามหาวิทยาลัยไปประมาณ 200 ร้อยเมตร ร้านนี้มีอาหารเยอะกว่าเดิมมีทั้งอาหารกล่อง ห่อ ราดข้าว ตามสั่ง ขนม หรือเครื่องดื่มอื่นๆอีกมาก เรียกว่าเอาใจลูกค้าอย่างถึงอกถึงใจ...สุดท้ายสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำส้มสีแดงบ่งบอกถึงรสชาด spicyมากจนคนขายต้องมีคำเตือนถึงรสชาดที่แสบทรวง แต่คนไทยอย่างพวกเราชอบรสเผ็ดอยู่แล้ว...พอทานเสร็จรีบกลับมาเจอกันที่ร้าน McDonald

........ช่วงบ่ายอาจารย์ Marry พาไปซื้อสินค้าที่เป็นวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน ที่RAFT (Resource Area for Teacher)ในเมือง Oakland โดยนักศึกษาหญิง4 คนนั่งรถไปกับอาจารย์ Marry ที่เหลือนั่งรถเมล์สาย 60 ไปกับ ดร.ฐาปนีย์ พอลงรถเมล์ที่เมืองOakland แล้วไม่รู้จะไปถึงที่นัดหมายได้อย่างไร เดินกันวกวนอยู่พักนึงก็เจออาจารย์ Marry มารับพวกเราทีละ 4 คน ประมาณ 2-3 เที่ยว....เป็นอะไรที่เสียสละมากเลยครับ....
........ที่RAFTเป็นองค์กรการกุศลที่รับบริจาคสิ่งของต่างๆทุกชนิดจากหน่วยงานทั้งราชการและเอกชน เพื่อนำมาจำหน่ายหรือบริจาคอีกต่อไป โดยการจำแนกสิ่งของออกเป็นหมวดหมู่ มีคำอธิบายหรือสัญลักษณ์บอกชนิดของสินค้าว่าอะไรเป็นสินค้าบริจาคให้ฟรี และสินค้าอะไรต้องจ่ายสตังค์ตามราคาที่กำหนด เสร็จแล้วเลือกถุงพลาสติกสีเหลืองหรือสีฟ้าเพื่อบรรจุแยกแยะสินค้าที่เราต้องการ
........ที่นี่ดูแล้วคล้ายๆกับวัดสวนแก้วของพระพยอมที่บ้านเรา องค์กรที่ทำกิจกรรมอย่างนี้สามารถช่วยสังคมให้มีวิถีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี สินค้ามีหลากหลายมากมีทั้งสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน สำนักงาน มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับงานสาขาอาชีพได้อีกมากมายโดยเฉพาะการผลิตสื่อการเรียนการสอน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งของใหม่ๆจากแหล่งผลิต
........วัสดุอุปกรณ์บางอย่างเป็นเพียงชิ้นส่วนที่สามารถนำไปปะติปะต่อเพื่อสร้างสรรค์เป็นโครงสร้างงานชิ้นใหม่ได้หลายรูปแบบตามความสามารถในการจินตนาการ ที่นี่จึงเป็นแหล่งศูนย์รวมของครูทั้งหลายที่มาเสาะแสวงหาวัตถุดิบที่จะนำไปประดิษฐ์เป็นสื่อการเรียนการสอนได้หลายหลายวิชามาก นอกจากนี้ยังมีหนังสือทั้งใหม่และเก่าอีกจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่แจกฟรี
........ส่วนพวกเราส่วนใหญ่ซื้อหรือจัดหาวัสดุอุปกรณ์แตกต่างกัน บ้างก็ซื้อเสื้อยืดหลายต้ว ลายฉละเสื้อผู้หญิง หมวก กระเป๋า เป้ ลูกยาง หนังสือ ปากกา สี พู่กัน และอีกมากมายจำไม่ได้ เมื่อถึงคราวจ่ายสตังค์ค่าสินค้าต้งรบกวนให้อาจารย์ Mary จ่ายไปคนเดียวก่อน เพราะที่นี่จะซื้อสิ่งของได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น ขณะที่จ่ายสตังค์ก็ดูสีหน้าอาจารย์ Mary ตกใจเล็กน้อย....นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของนักช็อบแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาเท่านั้นนะครับ....
........พอกลับถึงโรงแรมที่พักในตอนเย็นอาจารย์ Mary จึงค่อยมาเคลียร์ค่าสินค้าทีละคน หลายคนจ่ายมากพอสมควรเพราะอาจจะหยิบสินค้าเพลินไปหน่อย บางคนต้องจำหน่ายสินค้าให้เพื่อนๆเพราะดูแล้วไม่สามารถบรรทุกขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยได้



12 เมษายน 2551

San Francisco City Tour
ไปนอนที่ว้ดมงคลรัตนาราม

.........

13 เมษายน 2551

ร่วมกิจกรรมวันสงกรานต์ที่วัดมงคลรัตนาราม

14 เมษายน 2551

Google Visit

15 เมษายน 2551

Yosimite

16 เมษายน 2551

Las Vegas

...เดินทางไป Las Vegas มีกิกรรมที่น่าสนใจหลายเรื่อง เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้าน Casinoที่ใหญ่ที่สุดสามารถดึงดูดนักเสี่ยงโชคมาได้จากทั่วทุกมุมโลก และอีกอย่างที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองนี้ดีก็คือเป็นเวทีชกมวยโลกระดับซุบเปอร์สตาร์ทั้งสิ้น โปรโมเตอร์ที่จัดส่วนใหญ่มักเป็น Don King เจ้าพ่อในวงการหมัดมวยโลก แต่มีใครสักกี่คนที่จะรู้ว่าคืนวันที่ 16 เมษายน 2551 มีการจัดชิงแชมป์มวยระดับภาคพื้นเอเซียที่เวทีภายในห้อง 3608 โรงแรม Rivierra Hotel เมือง Las Vegas เวลาสี่ทุ่มกว่ากว่า เป็นศึกสายเลือดระหว่าง นัทน้อยศิษย์พระปฐม กับหมีใหญ่ลูกย่าโม กรรมการห้ามมวยบนเวทีได้แก่ กรวราลูกบางลี่ กรรมการให้คะแนนคือชัยวัฒน์ศิษย์ศาลายา และเอกลูกท่าไม้ ส่วนโปรโมเตอร์ผู้จัดศึกในครั้งนี้ได้แก่ ลิงดอนลูกเมืองราช นัทน้อยเป็นมวยวัยรุ่นสวมนวมขึ้นเวทีมาพร้อมชกได้ทันทีส่วนหมีใหญ่กำลังใส่นวมสวมกระจับกระชับน้องชายอยู่ข้างเวที เจ้านัทน้อยรอไม่ไหวเลยขอไหว้ครูก่อน ลีลาการไหว้ครูดูอ่อนช้อยดุดัน บางจังหวะอวัยวะบางส่วนเฉี่ยวถึงทรวงอกกรรมการห้ามบนเวที กรรมการจำเป็นต้องเตือนด้วยความเป็นห่วงในความคึกคนอง แต่นัทน้อยไม่ยอมเชื่อฟังแถมทำท่าประชดประชันหยันเย้ยกรรมการกรวราลูกบางลี่อย่างไม่เกรงใจ มิหนำซ้ำยังท้าทายหมายเปิดเผยความลับเคล็ดลมคมในของกรรมการผู้นี้เสียอีก ทำให้ชัยวัฒน์ลูกศาลายากรรมการให้คะแนนทนดูพฤติกรรมของนัทน้อยไม่ไหวต้องตระโกนขึ้นไปบนเวทีตักเตือนเชิงต่อว่าต่อขานนักมวยวัยรุ่นคนนี้นัยว่าจะช่วยเหลือและผนึกกำลังกับกรวราลูกบางลี่นั่นเอง ไหนล่ะเจ้านัทน้อยศิษย์พระปฐมจะใส่ใจในคำเตือนจากกรรมการทั้งสอง ว่าแล้วเขาก็วาดลวดลายว่ายครู..ไหว้ครู..ด้วยท่าจระเข้ฟาดหัวฟาดหางวางท่าท่วงทำนองขู่ข่มขย่มโยกกรรโชกความลับที่เก็บไว้คับอก พร้อมคำแค้นที่พ่นผ่านกล่องเสียงออกมา..ก็ดีออกมาช่วยกันก็ดีจะได้เจอดีกันเป็นพวงเล้ยยยย..ฮิฮิ..เป็นเสียงหัวเราะเยาะของผู้ได้เปรียบเชิงกลกาม ทำเอากรรมการทั้งสองต้องอึ้งกิมจี่ไปพักนึงแล้วจึงค่อยหัวเราะในลำคอ..ฮึฮึ..แก้เขินสิน่ะ เท่านี้ยังไม่พอเจ้านัทน้อยมวยคนองยังต้องแขวะใส่โปรโมเตอร์ผู้จัดรายการอีกคน เรียกได้ว่าโจ๋รอบวงเลยล่ะคร๊าบ แต่ก็ยังดูท่าทีแบบกลัวกลัวกล้ากล้าเหมือนหมาหยอกไก่ลองไล่ต้อนเล่นๆยังงั้น กะว่าถ้าได้จังหวะเหมาะก็จะงาบให้หนำใจ แต่ระหว่างจดจดจ้องจ้องกับโปรโมเตอร์อยู่อย่างลังเลหมีใหญ่ลูกย่าโมก็เสกคาถาทาแป้งแต่งตัวเสร็จแล้วขึ้นเวทีมาพอดี เจ้านัทน้อยเบนความสนใจไปยังหมีใหญ่ด้วยสายตาน่ากลัวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อดิบดิบแบบไม่ต้องเป็นน้ำตกเลยก็ได้ สายตาจ้องเขม็งหมีใหญ่อยู่นานพอสมควรก่อนจะพ่นระเบิดชนิดแสวงเครื่องออกมาทางปากด้วยเนื้อหาที่เป็นความบาดหมางเกี่ยวกับความงามทางดาราศาสตร์ทั้งสิ้น ตัวละครสำคัญที่ก่อให้เกิดศึกในวันนี้มีเพียงสองตัวเด่นเด่นเป็นสองคู่ขวัญคือ ท้องฟ้ากับดวงดาว ซึ่งตัวละครทั้งสองตัวนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองต้องมีความสมดุลกันเสมอจะให้ตัวใดตัวหนึ่งลับลาจากสายตาไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้านัทน้อยกับหมีใหญ่จำต้องรักษาสมดุลนี้ให้ได้ด้วยการชักคะเย่อให้ท้องฟ้ากับดวงดาวคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใดทั้งสิ้น โดยนักมวยทั้งสองคนต้องรักษาแรงดึงไม่ให้ตึงหรือผ่อนให้หย่อนยานไป เพราะถ้าหย่อนยานโดยไม่ระวังตัวเมื่อใดจะถูกคู่ต่อสู้ฉกฉวยโอกาสทันที เหมือนกับที่หมีใหญ่เคยหย่อนยานเรื่องโน๊ตบุ๊คปล่อยให้ละสายตาไปอยู่อีกห้องนึง ทำให้นัทน้อยได้มีโอกาสมองเห็นท้องฟ้าอันแจ่มใสและหลงไหลในความงามที่เจือจารด้วยความอ้อนหวาน..จะมัวรอช้าอยู่ใยเจ้านัทน้อยรีบโจมตีด้วยลีลาอาทรแบบนอมินี่ทันที พอได้ที่ก็ขว้างรูปหล่อหล่อให้หลุดใส่อินเตอร์เน็ตไปตกอยู่บนท้องฟ้าเล่นเล่นเสียงังงั้น แล้วสัมพันธ์นั้นก็ถูกเก็บในถุงกระดาษของหัวใจเป็นความลับมาหลายวัน..ยังงี้มันเลยขอบเขตของนอมินีแล้วมั๊งเจ้านัท ส่วนหมีใหญ่ในฐานะเป็นเจ้าของโน๊ตบุ๊คตัวจริงก็ไม่รู้ว่าได้แอบเคลิบเคลิ้มไปกับความงามระยิบแพรวพราวของดวงดาวบ้างหรือเปล่า พอนานวันเข้าเจ้านัทน้อยกับหมีใหญ่เกิดระแวงกันเองเหมือนมีลางบอกเหตุแห่งความลับกับความไม่ซี่อของกันและกัน..ถามจริงจริงเถอะพี่หมี..(อยากรู้เรื่องโดยสมบูรณ์โปรดติดตามต่อไป วันนี้ตีสี่กว่าแล้วขอนอนก่อนนะเฟ้ยย)ตื่นมาแล้วในตอนเช้า...พี่มีอารมย์สุนทรีย์มีความสุขกับแสงระยับยิบกระพริบพราวของดวงดาวหรือเปล่าถามจริงจริงนะเพ่..ลูกผู้ชายบอกกันตรงตรงได้..หมีใหญ่ยังไม่ทันตั้งตัวกับตอปิโดที่พุ่งตรงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยังไม่ได้คิดถึงทางหนีทีไล่เลยได้แต่ยิ้มแสยะเต็มมุมปาก ตอบออกไปอย่างหน้าเด๋อด๋า...ป่าวป่าว..ฮื่อฮื่อไม่รู้ไม่เคยชะเง้อแหงนหน้าดูดวงดาวในยามค่ำคืนหากจะดูก็แลเห็นเพียงท้องฟ้าเท่านั้นแล๋ ไม่เคยไม่เคยจริงจริง...พี่หมีบอกมาตรงตรงสิครับ ถ้าพี่หมีอยากได้แสงระยิบของดวงดาวที่ผมหวงนักหนาผมยินดีนะเพ่ แต่ถ้าไม่พูดกันตรงตรงผมก็จะบอกพี่ว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืนมันแจ่มใสยิ่งนัก นอมินีอย่างผมทนกับเสียงอ้อนแห่งความอ้างว้างไม่ได้หรอกพี่ คืนหนึ่งผมได้ลองบรรจงส่งแพรพรมไปรองรับคำอ้อนที่โปรยปรายจากท้องฟ้ามาเก็บไว้ในเยื่อบุอารมย์ของผมเอง ผมรู้สึกอบอุ่นนะพี่แล้วผมยืนยันได้ว่ารูปของผมก็ได้ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเรียบร้อยแล้วด้วยเออ...ฮึอฮึอ..กรอด..กรอด..แล้วแต่น้องก็แล้วกันพี่เพียงแต่คุยกันเรื่องสัมมนาเท่านั้นแหละน่ะ...อ้าวแสดงว่ามีแววซิไอ้หมี..กรรมการกรวราขัดจังหวะ...สัมมนาอะไรเพ่ ผมรู้นะ ให้พี่ลองไปคิดทบทวนมาให้ดีดีว่าจะเอายังไง วันนี้ง่วงแล๊ะขอไปนอนก่อน...กรวรากรรมการห้ามบนเวทีตะลึงสักพัก พอตั้งสติได้ เฮ้ย.เฮ้ยไอ้นัทน้อยทำไมแกกำลังชกอยู่ดีดีก็เดินลงเวทีไปเฉยเฉยเสี๊ยยังงั้น ไม่เอาโว้ยไม่เอาถ้างี้ไม่มีการตัดสินนะโว้ย ดูซินั่นเดินลงจากเวทีก็ไม่ยอมถอดนวม ดึกดึกงี้สงสัยมันจะเอานวมไปใช้กับเวทีอื่นซิท่า...ฮาาาาา!!!!

17 เมษายน 2551

Grand Canyon

18 เมษายน 2551

เดินทางกลับ San Jose

19 เมษายน 2551

ประชุมสรุปผล

20 เมษายน 2551

ไป Berkeley

21 เมษายน 2551

เดินทางกลับประเทศไทย

22 เมษายน 2551

ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ วันเวลาในประเทศไทยเป็นวันที่ 23 เมษายน 2551 เวลา ตี 1.30 น.

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ขออภัยเถอะวันที่ยังไม่ได้เขียน ว่างเมื่อไรจะลงมือทันทีเพราะต้นฉบับเขียนไว้แล้ว..ครับ..